The 100th Love with You (2017) ย้อนรัก 100 ครั้ง ก็ยังเป็นเธอ ดูหนัง
The 100th Love with You (2017) ย้อนรัก 100 ครั้ง ก็ยังเป็นเธอ ดูหนัง อาโออิและริคุที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีร่วมกับนักศึกษาคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยที่พวกเขาเข้าเรียน ริคุเป็นที่รู้จักในนามว่าเป็นคนที่ไม่มีที่ติและ “สมบูรณ์แบบ” สำหรับสมาชิกในวง ความแตกแยกและความเข้าใจผิดในวงดนตรี Strobocorp นำไปสู่การแสดงที่ผิดพลาดในวันเกิดของอาโออิในงานเทศกาลท้องถิ่น
หลังจากนั้นเธอประสบอุบัติเหตุอันน่าเศร้า เธอตื่นขึ้นและพบว่าตัวเองฟื้นคืนชีพในสัปดาห์ก่อนก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น และริคุเปิดเผยว่าเขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาอธิบายว่าเขาทำอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ทำให้เขาสามารถพัฒนาความสามารถที่ชัดเจนได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขายอมรับซึ่งกันและกันว่าความรู้สึกของพวกเขามีมากกว่ามิตรภาพในขณะที่พวกเขาหวนคิดถึงอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในจำนวนหนังรักย้อนเวลาจากแดนปลาดิบที่เพิ่งทยอยเข้าโรงฉายให้แฟนคลับคนไทยได้ดูกันในตอนปีที่ล่วงเลยไป ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ Kimi no Nawa (Your Name), Tomorrow I Will Date with Yesterday’s You รวมไปถึงหนังรวมทั้งแอนิเมชันเก่าๆที่พวกเราเคยมองผ่านตาอย่าง The Girl Who Leapt Through Time (2006), Enoshima Prism (2013) รวมทั้ง Orange (2015) สำหรับเราแล้ว The 100th Love with You ที่กำลังจะเข้าฉายในสัปดาห์นี้เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เราผู้ไม่เคยยอมเสียน้ำตาให้หนังเรื่องไหน ยอมปล่อยอารมณ์ให้จมจ่อมและร้องไห้ไปกับเรื่องจริงที่หนังเลือกให้พวกเราในส่วนท้ายแต่โดยดีเกริ่นสั้นสำหรับคนใดกันที่ยังไม่ได้อ่าน
เรื่องย่อมาก่อน The 100th Love with You
ว่าด้วยเรื่องของ อาโออิ (เล่นบทโดย ไม่วะ) หญิงสาวที่หลงเสน่ห์เพลงและก็มีความต้องการอยากแสดงการแสดงดนตรีร่วมกับเพื่อนๆที่งานเทศกาลของเมือง แม้กระนั้นในวันเกิดปีที่ 20 เวลา 18.10 น. คุณเผชิญอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกชน แล้วเธอก็ตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปใน 7 วันก่อนหน้า พร้อมกับความลับของ ริลุก (รับบทบาทโดย เคนทาโร่ ซาคากุจิ)
สหายหนุ่มที่เธอแอบชอบมาตลอดก็ถูกเปิดเผยขึ้นในแง่รายละเอียดที่ทำให้ The 100th Love with You ไม่เหมือนกับหนังย้อนเวลาหลายเรื่องที่เรายกตัวอย่างไปคือพล็อตที่เน้นย้ำความโรแมนติกระหว่างผู้แสดงนำชายนางเอกค่อนข้างเยอะ เพราะต้องบอกตรงๆว่าหนังประเด็นนี้โอบอุ้มด้วยพลังแม่เหล็กจากนักแสดงนำทั้งยังข้างชายและก็หญิง ไม่ว่าจะเป็นเคนทาโร่ ซาติดอยู่กุจิ ที่ขึ้นมารับบทดารานำชายเต็มกำลังครั้งแรกจากที่เคยแสดงเป็นตัวประกอบหรือพระรองมาตลอด
ซึ่งเขาก็ฉายเสน่ห์ในบทหนุ่มเคร่งขรึมสุดเพอร์เฟกต์ได้อย่างน่าหลงใหล (ตกลงว่าหากผู้ใดกันแน่เป็นแฟนคลับชายหนุ่มคนนี้มีต้อขี้เหนียวรีดร้องเงียบๆในใจตลอดทั้งเรื่องแน่ๆ) ส่วน มิวะ สาวน้อยน่าพิศวงของวงการดนตรีประเทศญี่ปุ่นก็พิสูจน์ฝีมือการแสดงสุดบริสุทธิ์ใจของเธอออกมาได้ และก็ใช้ความชำนาญด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยมผ่านเพลงประกอบซึ่งกลายมาเป็นสาระสำคัญที่ช่วยเติมให้เรื่องราวของหนังกลมกล่อมละมุนละไม พร้อมกับมีความหมายมากขึ้นเรื่อยๆนอกเหนือจากเรื่องใบหน้าและทักษะการแสดง
ประเด็นสำคัญของหนังก็ยังเกี่ยวพันกับต้นเหตุที่ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญ นั่นคือ ‘เวลา’ ในฉากที่ริลุกชี้แจงความลับของตนให้อาโออิฟัง เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเขามัก ‘ทุจริต’ เวลาเพื่อย้อนกลับไปปรับแต่งจุดบกพร่องหรือยืดเวลาเพื่อเรื่องบางเรื่อง (ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้) เกิดขึ้นจริงโดยไร้ขีดจำกัด เขาทำอย่างนั้นเพื่อสิ่งจำเป็นในชีวิตได้แก่ อาโออิหากแต่ว่าในชีวิตจริงของผู้คน พวกเราก็ทราบว่าไม่มีใครทุจริตเวลาได้เลย
‘ระวังอย่าปล่อยให้คนใดกันแน่มาขโมยเวลาของพวกเราไป’
หนังใช้ประโยคจากวรรณกรรมเยาวชนคลาสสิกของไม่ฆาเอ็ล เอ็นเด้ เรื่อง โมบด (Momo) มาช่วยอธิบายหัวข้อนี้ และเป็นประโยคที่ทำให้หนังเลือกสรุปในทางเลือกที่แสนบริสุทธิ์แล้วก็จริงใจต่อเรื่องจริงโดยไม่อิงโลกแฟนตาซี ที่สำคัญเป็นขั้นตอนการที่หนังเลือกใช้ในตอนจบไม่ทำให้เราฟูมฟายเกินเหตุ แต่เชื้อเชิญให้ผู้ชมได้คิดทวนว่าเราควรเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ใช้จ่ายในทุกวันนี้อย่างไรให้คุ้มค่า และเห็นด้วยเรื่องจริงแสนธรรมดาว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดควบคุมได้ทั้งปวงเป็นเหตุผลที่เรารู้สึกเย็นๆบริเวณขอบตาตอนนั่งชม แล้วก็จำต้องหลบไปเฉือนน้ำตาในความมืดดำสักนิดหน่อยเท่านั้นเอง